ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ระเบียบ อสส.การพัสดุ 2554

ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด
ว่าด้วยการพัสดุ
พ.ศ. ๒๕๕๔
                  

โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการพัสดุ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง (๓) และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ อัยการสูงสุดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอัยการ จึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๕๔

ข้อ ๒[๑]  ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ ๓  ในระเบียบนี้
พัสดุ หมายความว่า วัสดุ ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ตามหลักการจำแนกประเภทรายจ่ายตามงบประมาณของสำนักงบประมาณโดยอนุโลม
การพัสดุ หมายความว่า การจัดทำเอง การซื้อ การจ้าง การจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน การแลกเปลี่ยน การเช่า การควบคุม การจำหน่าย และการดำเนินการอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
การซื้อ หมายความว่า การซื้อพัสดุทุกชนิดทั้งที่มีการติดตั้ง ทดลอง และบริการที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ แต่ไม่รวมถึงการจัดหาพัสดุในลักษณะการจ้าง
การจ้าง หมายความว่า การจ้างทำของและการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และการจ้างเหมาบริการ แต่ไม่รวมถึงการจ้างลูกจ้างของส่วนราชการตามระเบียบของกระทรวงการคลัง การรับขนในการเดินทางไปราชการตามกฎหมายว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ การจ้างที่ปรึกษา การจ้างออกแบบและควบคุมงาน การจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การจ้างที่ปรึกษา หมายความว่า การจ้างบริการจากที่ปรึกษา แต่ไม่รวมถึงการจ้างออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างอาคาร
การจ้างออกแบบและควบคุมงาน หมายความว่า การจ้างบริการจากนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจบริการด้านการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างอาคาร
สำนักงาน หมายความว่า สำนักงานอัยการสูงสุด
สำนักงานภายใน หมายความว่า สำนักงานภายในตามประกาศ ก.อ.
ก.อ. หมายความว่า คณะกรรมการอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ

ข้อ ๔  การใดมิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือสั่งการของกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลังโดยอนุโลม เฉพาะที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ เว้นแต่ กวพ.อส. โดยความเห็นชอบของอัยการสูงสุดจะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น

ข้อ ๕  ให้อัยการสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจออกประกาศ คำสั่ง หลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งอื่นใด ซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน

หมวด ๑
การใช้บังคับและการมอบอำนาจ
                  

ข้อ ๖  ระเบียบนี้ใช้บังคับกับการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุของสำนักงาน โดยใช้เงินงบประมาณ เงินกู้ และเงินช่วยเหลือที่สำนักงานได้รับ

ข้อ ๗  ภายใต้บังคับข้อ ๔ กรณีที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดให้เรื่องใดเป็นอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ หรือของปลัดกระทรวง หรือของรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ให้อำนาจดังกล่าวเป็นของอัยการสูงสุด และให้อำนาจของ กวพ. หรือ กวพ.อ. แล้วแต่กรณี เป็นอำนาจของ กวพ.อส. โดยความเห็นชอบของอัยการสูงสุด

ข้อ ๘  อัยการสูงสุดจะมอบอำนาจตามระเบียบนี้เป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้ โดยให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้รับมอบอำนาจเป็นสำคัญ
เมื่อมีการมอบอำนาจตามวรรคหนึ่ง ผู้รับมอบอำนาจมีหน้าที่ต้องรับมอบอำนาจนั้นและจะมอบอำนาจนั้นให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นต่อไปไม่ได้

ข้อ ๙  ให้มีคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ สำนักงานอัยการสูงสุด เรียกโดยย่อว่า กวพ.อส. ประกอบด้วย
(๑) อัยการสูงสุด หรือรองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ
(๒) รองอัยการสูงสุดที่รับผิดชอบงานสำนักงานอำนวยการ เป็นกรรมการ
(๓) ผู้ตรวจการอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ
(๔) อธิบดีอัยการ สำนักงานที่ปรึกษากฎหมาย อธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแพ่ง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปกครอง อธิบดีอัยการ สำนักงานนโยบาย ยุทธศาสตร์และงบประมาณ เป็นกรรมการ
(๕) อัยการพิเศษฝ่ายบริหารอาคารและที่ดิน เป็นกรรมการ
(๖) ผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นกรรมการ
(๗) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นกรรมการ
(๘) ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการ
(๙) ผู้อำนวยการ สำนักงานอำนวยการ เป็นกรรมการและเลขานุการ
ผู้อำนวยการกองคลังและหัวหน้าฝ่ายพัสดุ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

ข้อ ๑๐  ให้ กวพ.อส. มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(๑) ตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
(๒) พิจารณาให้ความเห็นชอบการยกเว้น หรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
(๓) พิจารณาคำร้องเรียนเกี่ยวกับการที่สำนักงานภายในไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้
(๔) เสนอแนะการแก้ไขปรับปรุงระเบียบต่ออัยการสูงสุด
(๕) เสนอความเห็นในการพิจารณาผู้ทิ้งงาน และการสั่งเปลี่ยนแปลงเพิกถอนผู้ทิ้งงานของสำนักงาน
(๖) พิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นการแลกเปลี่ยนพัสดุ กรณีนอกเหนือจากที่กำหนดในข้อ ๒๘ หรือพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้พัสดุ นอกเหนือจากที่กำหนดในข้อ ๔๒ (๓)
(๗) พิจารณาให้ความเห็นชอบการให้หน่วยงานภายนอก หรือบุคคลภายนอกใช้ประโยชน์ในพัสดุของสำนักงาน
(๘) เชิญข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานมาสอบถาม หรือให้ข้อเท็จจริง รวมทั้งเรียกเอกสารจากหน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
(๙) พิจารณาดำเนินการตามที่อัยการสูงสุดมอบหมาย
(๑๐) พิจารณาดำเนินการตามที่บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กวพ.อส. ในระเบียบนี้
(๑๑) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่ตามที่ กวพ.อส. มอบหมาย
เมื่อ กวพ.อส. พิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อ ๑๐ (๒) (๖) และ (๗) แล้วแต่กรณี ให้เสนออัยการสูงสุดเพื่ออนุมัติ

หมวด ๒
การจัดหาพัสดุ
                  

ข้อ ๑๑  การจัดหาพัสดุของสำนักงานให้ดำเนินการตามแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีของสำนักงาน หรือตามความจำเป็น แล้วแต่กรณี และให้ดำเนินการตามวิธีการที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้

ข้อ ๑๒  การซื้อหรือการจ้างกระทำได้ ๖ วิธี คือ
(๑) วิธีตกลงราคา
(๒) วิธีสอบราคา
(๓) วิธีประกวดราคา
(๔) วิธีประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
(๕) วิธีพิเศษ
(๖) วิธีกรณีพิเศษ

ข้อ ๑๓  การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีตกลงราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท

ข้อ ๑๔  การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีสอบราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท

ข้อ ๑๕  การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีประกวดราคา ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท

ข้อ ๑๖  กรณีมีเหตุอันสมควรในการซื้อหรือการจ้างตามข้อ ๑๕ สำนักงานอาจใช้วิธีประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้

ข้อ ๑๗  การซื้อโดยวิธีพิเศษ ได้แก่ การซื้อครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นพัสดุที่จะขายทอดตลาด หรือขายทอดตลาด
(๒) เป็นพัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ
(๓) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายโดยตรง
(๔) เป็นพัสดุที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการของสำนักงาน และจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม (Repeat Order)
(๕) เป็นพัสดุที่จำเป็นต้องซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ หรือดำเนินการโดยผ่านองค์การระหว่างประเทศ
(๖) เป็นพัสดุที่โดยลักษณะของการใช้งานหรือมีข้อจำกัดทางเทคนิคที่จำเป็นจะต้องระบุยี่ห้อเป็นการเฉพาะ ซึ่งหมายความรวมถึง อะไหล่ รถประจำตำแหน่ง รถส่วนกลาง และรถรับรอง
(๗) เป็นพัสดุที่เป็นที่ดินและหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งจำเป็นต้องซื้อเฉพาะแห่ง
(๘) เป็นพัสดุเพื่อใช้ในราชการลับ
(๙) เป็นพัสดุที่ได้ดำเนินการซื้อโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี

ข้อ ๑๘  การจ้างโดยวิธีพิเศษ ได้แก่การจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทำได้เฉพาะกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นงานที่ต้องจ้างผู้มีฝีมือโดยเฉพาะ หรือผู้มีความชำนาญเป็นพิเศษ
(๒) เป็นงานจ้างซ่อมพัสดุที่จำเป็นต้องถอดตรวจให้ทราบความชำรุดเสียหายเสียก่อนจึงจะประมาณค่าซ่อมได้ เช่น งานจ้างซ่อมเครื่องจักร เครื่องมือกล เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้า หรือเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
(๓) เป็นงานที่ต้องกระทำโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ
(๔) เป็นงานที่จำเป็นต้องการจ้างเพิ่มในสถานการณ์ที่จำเป็นหรือเร่งด่วน หรือเพื่อประโยชน์แก่การดำเนินการของสำนักงาน และจำเป็นต้องจ้างเพิ่ม (Repeat Order)
(๕) เป็นงานที่ต้องปกปิดเป็นความลับของทางราชการ
(๖) เป็นงานที่ได้ดำเนินการจ้างโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลดี

ข้อ ๑๙  สำหรับสำนักงานภายในซึ่งตั้งอยู่ในต่างประเทศ หรือการปฏิบัติราชการในต่างประเทศ หรือมีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติในต่างประเทศจะซื้อหรือจ้างโดยวิธีพิเศษก็ได้ โดยให้ติดต่อซื้อหรือจ้างกับผู้มีอาชีพขายหรือรับจ้างทำงานนั้นโดยตรง

ข้อ ๒๐  การซื้อหรือการจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ได้แก่ การซื้อหรือการจ้างจากส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐที่มีกฎหมายจัดตั้ง หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การมหาชน ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) เป็นผู้ผลิตพัสดุหรือทำงานจ้างนั้นเอง และอัยการสูงสุดอนุมัติให้ซื้อหรือจ้าง
(๒) มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ซื้อหรือจ้างและกรณีนี้ให้รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย

หมวด ๓
อำนาจอนุมัติและวิธีการจัดหาพัสดุ
                  

ข้อ ๒๑  การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างครั้งหนึ่ง อัยการสูงสุดมีอำนาจอนุมัติการซื้อหรือจ้างทุกวิธีโดยไม่จำกัดวงเงิน
ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง การสั่งซื้อหรือสั่งจ้างอัยการสูงสุดจะมอบอำนาจให้เป็นของผู้ดำรงตำแหน่งใดและภายในวงเงินใดก็ได้
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดส่งสำเนาหลักฐานการมอบอำนาจตามวรรคสองให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค แล้วแต่กรณี ทราบทุกครั้ง

ข้อ ๒๒  อัยการสูงสุดมีอำนาจอนุมัติการสั่งจ้างที่ปรึกษาทุกวิธี โดยไม่จำกัดวงเงิน
การจ้างที่ปรึกษาโดยวิธีตกลง หากมีเหตุผลอันสมควรจะจ้างในวงเงินเกินกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ก็ได้

ข้อ ๒๓  อัยการสูงสุดมีอำนาจอนุมัติการสั่งจ้างออกแบบและควบคุมงานทุกวิธีโดยไม่จำกัดวงเงิน

ข้อ ๒๔  การจ้างก่อสร้างที่มีมูลค่างานเกินกว่า ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้ตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลางเพื่อคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง

ข้อ ๒๕  การซื้อหรือการจ้างที่มีมูลค่าเกินกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference : TOR) และร่างเอกสารประกวดราคา

ข้อ ๒๖  องค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ และองค์ประชุมของคณะกรรมการกำหนดราคากลางและหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีและหนังสือสั่งการของกรมบัญชีกลางและกระทรวงการคลัง
องค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ และองค์ประชุมของคณะกรรมการร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference : TOR) และร่างเอกสารประกวดราคา ให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และมติคณะรัฐมนตรีโดยอนุโลม

ข้อ ๒๗  อัยการสูงสุดมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทุกคณะ
ภายใต้บังคับวรรคหนึ่ง ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร การแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทุกคณะเป็นอำนาจของผู้รับมอบอำนาจ

ข้อ ๒๘  การแลกเปลี่ยนพัสดุให้กระทำในกรณีที่เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องแลกเปลี่ยน  ทั้งนี้ ให้กระทำได้เฉพาะการแลกเปลี่ยนครุภัณฑ์กับครุภัณฑ์ และการแลกเปลี่ยนวัสดุกับวัสดุในประเภทและชนิดเดียวกัน ที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเท่านั้น กรณีนอกเหนือจากนี้ ให้เสนอ กวพ.อส. พิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นก่อน

ข้อ ๒๙  ในกรณีต้องมีการแลกเปลี่ยนพัสดุตามข้อ ๒๘ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรืออัยการพิเศษฝ่ายบริหารอาคารและที่ดินรายงานต่ออัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งการ
ในกรณีที่จะแลกเปลี่ยนกับเอกชน ให้ระบุวิธีที่จะแลกเปลี่ยนพร้อมทั้งเหตุผลโดยเสนอให้นำวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม เว้นแต่การแลกเปลี่ยนพัสดุที่จะนำไปแลกครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะเสนอให้ใช้วิธีตกลงราคาก็ได้

ข้อ ๓๐  การเช่าทรัพย์สินรวมค่าบริการอื่นเกี่ยวกับการเช่า เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดพิจารณาอนุมัติตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยไม่จำกัดวงเงิน
การเช่าสังหาริมทรัพย์ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการซื้อมาใช้โดยอนุโลม
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ให้ดำเนินการโดยวิธีตกลงราคา
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ใดที่อัยการสูงสุดเคยอนุมัติให้เช่าแล้วตามวรรคหนึ่ง กรณีประสงค์จะเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นต่อไป หากอัตราค่าเช่าไม่สูงกว่าอัตราค่าเช่าตามสัญญาเดิม ให้อธิบดีอัยการภาคมีอำนาจต่อสัญญาเช่านั้นได้ และรายงานอัยการสูงสุดทราบ

ข้อ ๓๑  ก่อนดำเนินการเช่าให้เจ้าหน้าที่พัสดุหรืออัยการพิเศษฝ่ายบริหารอาคารและที่ดินทำรายงานเสนออัยการสูงสุดตามรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) เหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องเช่า
(๒) ราคาค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าเสนอ
(๓) รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะเช่า เช่น สภาพของสถานที่ บริเวณที่ต้องการใช้ พร้อมทั้งภาพถ่าย และราคาค่าเช่าครั้งหลังสุด (ถ้ามี) เป็นต้น
(๔) อัตราค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีขนาดและสภาพใกล้เคียงกับที่จะเช่า (ถ้ามี)

ข้อ ๓๒  การบริหารสัญญา การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลง การใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง การลดหรืองดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา และการขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลงเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด

ข้อ ๓๓  หลักเกณฑ์และวิธีการทำสัญญาหรือข้อตกลง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาหรือข้อตกลง การบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลง การกำหนด การลดหรืองดค่าปรับให้แก่คู่สัญญา การขยายเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลง การใช้สิทธิตามเงื่อนไขของสัญญาหรือข้อตกลงและหลักประกัน ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุโดยอนุโลม
ให้สำนักงานอัยการสูงสุดใช้แบบสัญญาตามตัวอย่างที่ กวพ. กำหนด ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุโดยอนุโลม

ข้อ ๓๔  นอกจากที่กำหนดไว้โดยชัดแจ้งในระเบียบนี้แล้ว วิธีดำเนินการซื้อ การจ้าง การสั่งจ้างที่ปรึกษา การสั่งจ้างออกแบบและควบคุมงาน การแลกเปลี่ยน การเช่าทรัพย์สิน การจ่ายเงินล่วงหน้า การตรวจรับพัสดุ การตรวจการจ้าง และการควบคุมงานก่อสร้างให้ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุโดยอนุโลม

ข้อ ๓๕  สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ให้ส่งสำเนาให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค แล้วแต่กรณี และกรมสรรพากรภายในสามสิบวันนับแต่วันทำสัญญาหรือข้อตกลง

หมวด ๔
การควบคุมและการตรวจสอบพัสดุ
                  

ข้อ ๓๖  พัสดุของสำนักงานไม่ว่าได้มาด้วยประการใด ให้อยู่ในความควบคุมตามระเบียบนี้และต้องลงบัญชีหรือทะเบียนเพื่อควบคุมพัสดุ แล้วแต่กรณี รวมทั้งการเก็บรักษาและการเบิกจ่ายพัสดุโดยต้องมีหลักฐานการรับเข้าบัญชีหรือทะเบียนไว้ประกอบรายการด้วย

ข้อ ๓๗  การให้ยืมหรือนำพัสดุไปใช้ ให้กระทำได้เฉพาะในกิจการเพื่อประโยชน์ของทางราชการเท่านั้น
วิธีการยืม การส่งคืนพัสดุ และการทวงถามพัสดุที่ยืมให้ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุโดยอนุโลม

ข้อ ๓๘  การให้ส่วนราชการอื่นยืมพัสดุของสำนักงาน ให้เสนออัยการสูงสุดเพื่ออนุมัติ
การยืมพัสดุไปใช้ระหว่างสำนักงานภายใน ให้หัวหน้าสำนักงานภายในที่รับผิดชอบพัสดุนั้นพิจารณาอนุมัติ

ข้อ ๓๙  ครุภัณฑ์ที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนเมื่อลงทะเบียนครุภัณฑ์ของสำนักงานแล้ว ให้แจ้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค แล้วแต่กรณี ทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับครุภัณฑ์

ข้อ ๔๐  ก่อนสิ้นเดือนกันยายนของทุกปีในเขตกรุงเทพมหานคร อัยการสูงสุดจะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งหรือหลายคน ซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่พัสดุ เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุงวดตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ของปีก่อน จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ของปีปัจจุบัน และตรวจนับพัสดุประเภทที่คงเหลืออยู่เพียงวันสิ้นงวดนั้น
ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้อธิบดีอัยการภาคแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งหรือหลายคนซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่พัสดุ เพื่อตรวจสอบการรับจ่ายพัสดุประจำปีตามวรรคหนึ่งเช่นกัน
ในการตรวจสอบดังกล่าว ให้เริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุในวันเปิดทำการวันแรกของเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ว่าการรับจ่ายถูกต้องหรือไม่ พัสดุคงเหลือมีตัวอยู่ตรงตามบัญชีหรือทะเบียนหรือไม่ มีพัสดุใดชำรุด เสื่อมคุณภาพ หรือสูญไป เพราะเหตุใด หรือพัสดุใดไม่จำเป็นต้องใช้ในราชการต่อไปแล้วให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวต่ออัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการภาค แล้วแต่กรณี ภายในสามสิบวันทำการนับแต่วันเริ่มดำเนินการตรวจสอบพัสดุนั้น
ในกรณีที่ผลการตรวจสอบพัสดุตรงตามบัญชีหรือทะเบียน ให้อธิบดีอัยการภาครายงานผลการตรวจสอบพัสดุไปยังอัยการสูงสุดทราบต่อไป
ให้ส่งสำเนารายงานไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค แล้วแต่กรณี

ข้อ ๔๑  เมื่ออัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการภาค แล้วแต่กรณี ได้รับการรายงานการตรวจสอบดังกล่าวตามข้อ ๔๐ และปรากฏว่ามีพัสดุชำรุด เสื่อมสภาพ หรือสูญไป หรือไม่ จำเป็นต้องใช้ในราชการต่อไป ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงขึ้นคณะหนึ่ง เว้นแต่กรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเสื่อมสภาพเนื่องมาจากใช้งานตามปกติ หรือสูญไปตามธรรมชาติ อัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการภาค แล้วแต่กรณี จะพิจารณาสั่งการให้ดำเนินการจำหน่ายตามข้อ ๔๒ หรือข้อ ๔๔ แล้วแต่กรณี ต่อไป
ถ้าผลการพิจารณาปรากฏว่าจะต้องหาผู้รับผิดชอบด้วย ให้อัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการภาค แล้วแต่กรณี พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป

ข้อ ๔๒  หลังจากการตรวจสอบแล้ว พัสดุใดหมดความจำเป็นหรือหากใช้ในราชการต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก ให้เจ้าหน้าที่พัสดุเสนอรายงานต่ออัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการภาค แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาสั่งจำหน่ายตามวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(๑) ขาย ให้ดำเนินการขายโดยวิธีขายทอดตลาดก่อน แต่ถ้าขายโดยวิธีขายทอดตลาดแล้วไม่ได้ผลดี ให้นำวิธีที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อมาใช้โดยอนุโลม เว้นแต่การขายพัสดุครั้งหนึ่งซึ่งมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จะขายโดยวิธีตกลงราคาโดยไม่ต้องกระทำโดยวิธีขายทอดตลาดก่อนก็ได้
การขายให้แก่ส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ขายโดยวิธีตกลงราคา
(๒) แลกเปลี่ยน โดยถือปฏิบัติตามวิธีการแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุโดยอนุโลม
(๓) โอน ให้โอนแก่ส่วนราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร  ทั้งนี้ ให้มีหลักฐานการส่งมอบไว้ต่อกันด้วย
(๔) แปรสภาพหรือทำลาย ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานกำหนด
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง โดยปกติให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่อัยการสูงสุดหรืออธิบดีอัยการภาค แล้วแต่กรณี สั่งการ และให้รายงานอัยการสูงสุดทราบ

ข้อ ๔๓  เงินที่ได้จากการจำหน่ายพัสดุให้นำส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดิน เว้นแต่พัสดุนั้นไม่ใช่พัสดุของสำนักงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้น ๆ

ข้อ ๔๔  ในกรณีที่พัสดุสูญไปโดยไม่ปรากฏตัวผู้รับผิดหรือมีตัวผู้รับผิดแต่ไม่สามารถชดใช้ได้หรือมีตัวพัสดุอยู่แต่ไม่สมควรดำเนินการตามข้อ ๔๒ ไม่ว่าพัสดุนั้นมีราคาซื้อหรือได้มารวมกันเป็นเงินเท่าใดให้เสนออัยการสูงสุดพิจารณาอนุมัติให้จำหน่ายพัสดุนั้นเป็นสูญ

ข้อ ๔๕  เมื่อได้ดำเนินการตามข้อ ๔๒ หรือข้อ ๔๔ แล้วแต่กรณี ให้เจ้าหน้าที่พัสดุลงจ่ายพัสดุนั้นออกจากบัญชีหรือทะเบียนทันที แล้วแจ้งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค แล้วแต่กรณี ทราบภายในสามสิบวัน นับแต่วันลงจ่ายพัสดุนั้น
สำหรับพัสดุซึ่งต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย ให้แจ้งแก่นายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย

ข้อ ๔๖  ในกรณีที่พัสดุเกิดการชำรุด เสื่อมคุณภาพ หรือสูญไป หรือไม่จำเป็นต้องใช้ในราชการต่อไป ก่อนมีการตรวจสอบตามข้อ ๔๐ และได้ดำเนินการตามกฎหมายหรือระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้องหรือระเบียบนี้โดยอนุโลม แล้วแต่กรณี เสร็จสิ้นแล้ว ถ้าไม่มีระเบียบอื่นใดกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ให้ดำเนินการตามข้อ ๔๒ ข้อ ๔๓ ข้อ ๔๔ และข้อ ๔๕ โดยอนุโลม

ข้อ ๔๗  ให้สำนักงานจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้
ห้ามสำนักงานก่อนิติสัมพันธ์กับผู้ทิ้งงานที่สำนักงานได้ระบุชื่อไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานรวมทั้งผู้ทิ้งงานกับส่วนราชการอื่นที่ได้รับแจ้งเวียนชื่อ เว้นแต่ผู้ทิ้งงานดังกล่าวจะได้รับการเพิกถอนการเป็นผู้ทิ้งงานแล้ว

ข้อ ๔๘  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอันควรสงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นการทิ้งงานให้สำนักงานเรียกผู้ได้รับการคัดเลือก ผู้จำหน่าย ผู้รับจ้าง คู่สัญญา ผู้เสนอราคา หรือผู้เสนองานที่มีข้อเท็จจริงอันควรมีข้อสงสัยนั้นมาชี้แจงข้อเท็จจริงตามระเบียบ  ทั้งนี้ โดยมีหนังสือแจ้งเหตุที่สงสัยไปยังบุคคลดังกล่าวพร้อมทั้งแจ้งให้บุคคลนั้นชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงภายในเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
เมื่อได้รับทราบคำชี้แจงจากผู้ได้รับการคัดเลือก ผู้จำหน่าย ผู้รับจ้าง คู่สัญญา ผู้เสนอราคา หรือผู้เสนองานที่ถูกสงสัยตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้เลขานุการ กวพ.อส. นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ กวพ.อส. หากผู้ได้รับการคัดเลือก ผู้จำหน่าย ผู้รับจ้าง คู่สัญญา ผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานที่ถูกสงสัยตามวรรคหนึ่ง ไม่ชี้แจงภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำอันเป็นการทิ้งงาน ให้ กวพ.อส. พิจารณาไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ หลังจากที่ กวพ.อส. ได้พิจารณาและเห็นว่าบุคคลดังกล่าวสมควรเป็นผู้ทิ้งงาน ให้รายงานอัยการสูงสุดเพื่อสั่งให้บุคคลนั้นเป็นผู้ทิ้งงานโดยระบุชื่อผู้ทิ้งงานไว้ในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน พร้อมทั้งแจ้งเวียนชื่อผู้ทิ้งงานให้สำนักงานภายในทราบ รวมทั้งแจ้งให้ผู้ทิ้งงานรายนั้นทราบทางไปรษณีย์ลงทะเบียนและแจ้งให้ปลัดกระทรวงการคลังทราบด้วย

บทเฉพาะกาล
                  

ข้อ ๔๙  การพัสดุใดซึ่งได้กระทำไปแล้วในขั้นตอนใดก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการในขั้นตอนต่อไปให้ปฏิบัติตามระเบียบนี้


ประกาศ ณ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔
จุลสิงห์  วสันตสิงห์
อัยการสูงสุด





ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

ดำรง/ตรวจ
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

อุษมล/ปรับปรุง
๑๒ มีนาคม ๒๕๕๘




[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๗ ก/หน้า ๖/๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

(ฉบับเต็ม) พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ 2553

พระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓                    ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นปีที่ ๖๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ   ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๖๔   ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑    พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ ” มาตรา ๒ [๑]    พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓    ให...

ระเบียบ กอ.การลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ 2555

ระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๕                    โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ คณะกรรมการอัยการจึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า  “ ระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ” ข้อ ๒ [ ๑]   ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓  ในระเบียบนี้ “ ข้าราชการ ”  หมายความว่า ข้าราชการฝ่ายอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ “ ก.อ. ”  หมายความว่า คณะกรรมการอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ข้อ ๔  การลาทุกประเภทตามระเบียบนี้ ถ้ามีกฎหมาย ระเบียบ ก.อ. หรือมติ ก.อ. กำหนดเกี่ยวกับการลาประเภทใดไว้เป็นพิเศ...

ระเบียบ กอ.เครื่องแบบและการแต่งกายของข้าราชการฝ่ายอัยการ 2556

ระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายของข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๖ [ ๑]                    โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบคณะกรรมการอัยการว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายของข้าราชการฝ่ายอัยการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ คณะกรรมการอัยการจึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า  “ ระเบียบคณะกรรมการอัยการว่าด้วยเครื่องแบบและการแต่งกายของข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๖ ” ข้อ ๒  ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ข้อ ๓  ให้คณะกรรมการอัยการมีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ข้อ ๔  ให้อัยการสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจออกประกาศ คำสั่ง หลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งอื่นใด ซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบน...