ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ระเบียบ กอ วิธีการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงฯ อัยการ 2554

ระเบียบคณะกรรมการอัยการ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการอัยการ
พ.ศ. ๒๕๕๔
                  

โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการอัยการ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๗๖ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ และมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการอัยการจึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๔

ข้อ ๒[๑]  ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ ๓  ในระเบียบนี้ หากมิได้กำหนดไว้โดยเฉพาะเป็นอย่างอื่น
ก.อ. หมายความว่า คณะกรรมการอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
คณะกรรมการสอบสวน หมายความว่า คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการอัยการ ซึ่ง ก.อ. แต่งตั้งตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓
ประธานกรรมการ หมายความว่า ประธานของคณะกรรมการสอบสวน
กรรมการ หมายความว่า กรรมการของคณะกรรมการสอบสวน
การสอบสวนทางวินัย หมายความว่า การสอบสวนโดยคณะกรรมการสอบสวน ซึ่ง ก.อ. แต่งตั้งตามมาตรา ๗๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓

ข้อ ๔  ให้ ก.อ. มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้

ข้อ ๕  ให้อัยการสูงสุดรักษาการตามระเบียบนี้
บรรดาระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งอื่นใดซึ่งขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน

หมวด ๑
หลักเกณฑ์การสอบสวน
                  

ข้อ ๖  ในการสอบสวนทางวินัย ให้ ก.อ. แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการจากข้าราชการอัยการซึ่งมีอาวุโสไม่ต่ำกว่าผู้ถูกกล่าวหา เว้นแต่มีความจำเป็นจะแต่งตั้งกรรมการจากข้าราชการอัยการซึ่งมีอาวุโสต่ำกว่าผู้ถูกกล่าวหาก็ได้

ข้อ ๗  คณะกรรมการสอบสวนประกอบด้วย ประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการอย่างน้อยอีกสองคน โดยให้กรรมการคนหนึ่งเป็นเลขานุการ
ในกรณีจำเป็นจะให้มีผู้ช่วยเลขานุการซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายอัยการด้วยก็ได้
เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว หากมีเหตุสมควรหรือจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสอบสวน ให้ประธาน ก.อ. นำเสนอ ก.อ. พิจารณาเปลี่ยนแปลงได้ และให้นำความในข้อ ๖ มาใช้บังคับด้วย
การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสอบสวน หรือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง หรืออาวุโสของบุคคลดังกล่าวไม่กระทบกระเทือนถึงการแต่งตั้งหรือการสอบสวน

ข้อ ๘  คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้ประธาน ก.อ. เป็นผู้ลงนามแทน โดยต้องระบุชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหา เรื่องที่กล่าวหา ชื่อและตำแหน่งของคณะกรรมการสอบสวน  ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามแบบ วน.๑ ท้ายระเบียบนี้
ให้สำนักงานคณะกรรมการอัยการส่งสำเนาคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้คณะกรรมการสอบสวน และส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวหาให้ประธานกรรมการ และให้ประธานกรรมการลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบไว้เป็นหลักฐาน
ให้สำนักงานคณะกรรมการอัยการแจ้งคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยเร็ว โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบไว้เป็นหลักฐาน ในการนี้ ให้มอบสำเนาคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหนึ่งฉบับด้วย
ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมรับทราบคำสั่ง หรือไม่อาจแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบได้ ให้ส่งสำเนาคำสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้ถูกกล่าวหา ณ ที่อยู่ของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ในกรณีเช่นนี้ เมื่อล่วงพ้นสิบห้าวันนับแต่วันที่ส่งสำเนาคำสั่งดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว โดยให้ส่งหลักฐานการรับทราบหรือถือว่ารับทราบให้ประธานกรรมการต่อไป

ข้อ ๙  ผู้ถูกกล่าวหาอาจคัดค้านคณะกรรมการสอบสวนคนหนึ่งคนใดได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ ก.อ. ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือถ้าทราบเหตุที่พึงคัดค้านในระหว่างการสอบสวน ก็ให้ยื่นหนังสือคัดค้านต่อ ก.อ. ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบเหตุแห่งการคัดค้าน
ให้ ก.อ. พิจารณาโดยเร็ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการอัยการแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้คัดค้านและคณะกรรมการสอบสวนทราบ ผลการพิจารณาให้เป็นที่สุด
เหตุแห่งการคัดค้านคณะกรรมการสอบสวน มีดังนี้
(๑) มีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องที่สอบสวนนั้น
(๒) เป็นคู่หมั้น คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดา หรือร่วมมารดาของคู่กรณี
(๓) เป็นผู้ที่ได้ถูกอ้างเป็นพยานโดยที่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ หรือโดยเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้เป็นพิเศษเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สอบสวน
(๔) เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทน หรือได้เป็นทนายความของคู่กรณีมาแล้ว
(๕) เป็นพนักงานอัยการผู้ตรวจพิจารณา มีคำสั่งคดี หรือดำเนินคดี หรือเป็นอนุญาโตตุลาการในคดีเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สอบสวน
(๖) ถ้ามีอีกเรื่องหนึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี ซึ่งกรรมการนั้นเอง หรือคู่สมรส หรือญาติทางสืบสายโลหิตตรงขึ้นไปหรือตรงลงมาของกรรมการนั้นฝ่ายหนึ่งพิพาทกับคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือคู่สมรสหรือญาติทางสืบสายโลหิตตรงขึ้นไปหรือตรงลงมาของคู่กรณีฝ่ายนั้นอีกฝ่ายหนึ่ง
(๗) เป็นเจ้าหนี้ หรือลูกหนี้ หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี
(๘) เป็นผู้มีสาเหตุโกรธเคืองกับคู่กรณี หรือเป็นคู่กรณีเอง
(๙) มีเหตุอื่นซึ่งอาจทำให้การสอบสวนเสียความเป็นธรรม

ข้อ ๑๐  คณะกรรมการสอบสวนผู้ใดมีเหตุอันอาจถูกคัดค้านได้ตามข้อ ๙ ให้ผู้นั้นรายงานต่อ ก.อ. เพื่อพิจารณาตามข้อ ๙

ข้อ ๑๑  ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ให้คณะกรรมการสอบสวนรายงานให้ ก.อ. ทราบโดยเร็ว หาก ก.อ. เห็นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ ก.อ. แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนสำหรับเรื่องนั้น โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเป็นผู้ทำการสอบสวน หรือจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ก็ได้

ข้อ ๑๒  ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนมีมูลพาดพิงถึงข้าราชการฝ่ายอัยการผู้อื่นว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมกระทำผิดในเรื่องนี้ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานไปยัง ก.อ. หรืออัยการสูงสุด แล้วแต่กรณี เพื่อดำเนินการต่อไปตามควรแก่กรณี

ข้อ ๑๓  ในกรณีที่มีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดชี้ขาดเกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหาคนใด ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาได้ความประจักษ์อยู่แล้ว คณะกรรมการสอบสวนจะฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษานั้นเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้ แต่ต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและให้มีโอกาสชี้แจงก่อน

หมวด ๒
วิธีการสอบสวน
                  

ข้อ ๑๔  เมื่อประธานกรรมการได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว ให้บันทึกวันที่ได้รับทราบคำสั่งนั้นไว้ในสำนวนการสอบสวน และให้ประธานกรรมการเรียกประชุมคณะกรรมการสอบสวนเพื่อกำหนดแนวทางการสอบสวนต่อไป

ข้อ ๑๕  ในการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน ต้องมีกรรมการร่วมสอบสวนอย่างน้อยสองคนจึงจะเป็นองค์คณะทำการสอบสวนได้ ในการประชุมปรึกษาต้องมีประธานกรรมการและกรรมการอื่นมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดแต่ไม่น้อยกว่าสามคนจึงจะเป็นองค์คณะดำเนินการประชุมปรึกษาได้
การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนนและห้ามมิให้งดออกเสียง ถ้ามีคะแนนเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

ข้อ ๑๖  ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนให้เสร็จโดยเร็วไม่ช้ากว่าเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับแต่งตั้ง ถ้ามีความจำเป็นซึ่งจะสอบสวนไม่ทันภายในกำหนดเวลานั้น ก็ให้ขออนุมัติจากประธาน ก.อ. ในฐานะผู้แต่งตั้ง ขยายเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสองครั้ง แต่ละครั้งเป็นเวลาไม่เกินสามสิบวัน และต้องแสดงเหตุที่ต้องขยายเวลาไว้ด้วยทุกครั้ง
แต่ถ้าขยายเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว คณะกรรมการสอบสวนยังสอบสวนไม่เสร็จ ประธาน ก.อ. ในฐานะผู้แต่งตั้ง จะอนุมัติให้ขยายเวลาต่อไปอีกได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ ก.อ. ทราบแล้ว

ข้อ ๑๗  ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาแจ้ง และอธิบายข้อกล่าวหาที่ปรากฏตามเรื่องที่กล่าวหาให้ทราบว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำการใด เมื่อใด อย่างไร พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบด้วยว่าผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะได้รับแจ้งสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา และมีสิทธิที่จะชี้แจงหรือให้ถ้อยคำหรือโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหา ตลอดจนอ้างพยานหลักฐานหรือนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ตามวิธีการในหมวดนี้  ทั้งนี้ บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวให้เป็นไปตามแบบ วน.๒ ท้ายระเบียบนี้
ในการแจ้งรายละเอียดตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้คณะกรรมการสอบสวนส่งหนังสือร้องเรียนถ้ามีให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา แต่ต้องสรุปสาระสำคัญของหนังสือร้องเรียนให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบโดยมิให้แจ้งข้อมูลใดที่จะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบถึงตัวบุคคลผู้ร้องเรียน

ข้อ ๑๘  การแจ้งข้อกล่าวหาตามแบบ วน.๒ ตามข้อ ๑๗ ให้ผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อรับทราบไว้และให้สำเนาให้ผู้ถูกกล่าวหาหนึ่งฉบับ แล้วให้ถามผู้ถูกกล่าวหาว่า ได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ จะชี้แจงหรือให้ถ้อยคำอย่างไรบ้าง แล้วบันทึกถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหาไว้ หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบ ให้คณะกรรมการสอบสวนจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ให้ถ้อยคำก็ให้บันทึกรายงานไว้ และดำเนินการสอบสวนต่อไป
ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคำรับว่าได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหา ให้คณะกรรมการสอบสวนบันทึกถ้อยคำรับ รวมทั้งเหตุผล สาเหตุแห่งการกระทำ และข้อเท็จจริงอื่นที่เกี่ยวข้องไว้ ตามแบบ วน.๓ ท้ายระเบียบนี้ ในกรณีนี้ คณะกรรมการสอบสวนจะไม่สอบสวนต่อไปก็ได้ หรือจะสอบสวนต่อไปตามควรเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวหาก็ได้ แล้วให้ดำเนินการตามข้อ ๒๕
ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหามิได้ให้ถ้อยคำรับสารภาพ ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาต่อไป

ข้อ ๑๙  เมื่อได้รับทราบบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาอาจให้ถ้อยคำ หรือทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการสอบสวนภายในสิบห้าวัน ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ให้ถ้อยคำ หรือไม่ได้ยื่นคำชี้แจงภายในกำหนดระยะเวลา ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนต่อไปโดยไม่ต้องสอบสวนตัวผู้ถูกกล่าวหา แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสำนวนการสอบสวน
ผู้ถูกกล่าวหาอาจยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการสอบสวนได้ก่อนการสอบสวนเสร็จสิ้น  ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนมีอำนาจให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร
ถ้าผู้ถูกกล่าวหายื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวนนั้นต่อ ก.อ. ก็ให้รับคำชี้แจงไว้พิจารณา

ข้อ ๒๐  ผู้ถูกกล่าวหาหรือคู่กรณีที่มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวน มีสิทธินำที่ปรึกษาซึ่งอาจเป็นทนายความหรือบุคคลที่ตนไว้วางใจเข้ามาฟังการให้ถ้อยคำของตนได้ และให้ที่ปรึกษาลงลายมือชื่อไว้ด้วย ถ้าที่ปรึกษาไม่สามารถหรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้คณะกรรมการสอบสวนจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ

ข้อ ๒๑  ภายใต้บังคับข้อ ๒๐ ในการสอบสวน ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ซึ่งจะถูกสอบปากคำเข้ามาในที่สอบสวนคราวละหนึ่งคน และห้ามมิให้บุคคลอื่นอยู่ในที่สอบสวน เว้นแต่บุคคลซึ่งคณะกรรมการสอบสวนอนุญาตให้อยู่ในที่สอบสวนเพื่อประโยชน์แห่งการสอบสวน
การสอบปากคำผู้กล่าวหาหรือพยาน ให้บันทึกถ้อยคำไว้ตามแบบ วน.๔ หรือ วน. ๕ ท้ายระเบียบนี้ แล้วแต่กรณี แล้วให้อ่านให้ผู้ให้ถ้อยคำฟัง และให้ผู้ให้ถ้อยคำลงลายมือชื่อไว้ ถ้าผู้ให้ถ้อยคำไม่สามารถหรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ ให้คณะกรรมการสอบสวนจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ

ข้อ ๒๒  กรรมการสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และมีอำนาจเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงเท่าที่เกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของกรรมการสอบสวน และโดยเฉพาะมีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(๑) เรียกให้หน่วยงานของรัฐชี้แจงข้อเท็จจริง ส่งเอกสารและหลักฐาน ส่งผู้แทนหรือบุคคลในสังกัดมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวน
(๒) เรียกผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งเอกสารและหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวน
ในกรณีไม่สามารถเรียกพยานมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสอบสวน หรือคณะกรรมการสอบสวนเรียกพยานไม่ได้ภายในเวลาอันสมควร คณะกรรมการสอบสวนจะไม่สอบสวนพยานนั้นก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย  ทั้งนี้ เว้นแต่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ามีเหตุผลสมควรที่พยานไม่สามารถมาได้ตามกำหนด หรือได้ตัวพยานมาให้ถ้อยคำก่อนการสอบสวนพยานสิ้นสุดลง ก็ให้ผ่อนผันได้ตามควรแก่กรณี

ข้อ ๒๓  ก่อนเริ่มสอบปากคำพยาน ให้คณะกรรมการสอบสวนแจ้งให้พยานทราบว่ากรรมการมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จต่อกรรมการอาจเป็นความผิดตามกฎหมาย

ข้อ ๒๔  ในการนำเอกสารหรือวัตถุมาใช้เป็นพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ให้บันทึกที่มาของพยานหลักฐานดังกล่าวไว้เท่าที่จะทำได้ด้วยว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาอย่างไร จากผู้ใด และเมื่อใด
การอ้างพยานเอกสารให้ใช้ต้นฉบับเอกสาร เว้นแต่ไม่อาจนำต้นฉบับมาได้ สำเนาที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบหรือผู้อ้างเอกสารรับรองว่าถูกต้องก็อ้างเป็นพยานได้

ข้อ ๒๕  เมื่อเสร็จสิ้นการรวบรวมพยานหลักฐานของฝ่ายผู้กล่าวหาแล้ว ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการประชุมเพื่อพิจารณาว่ามีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการใด เมื่อใด อย่างไร และเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ แล้วให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา โดยระบุข้อกล่าวหาที่ปรากฏตามพยานหลักฐานว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ทราบ โดยระบุวัน เวลา สถานที่ และการกระทำ ที่มีลักษณะเป็นการสนับสนุนข้อกล่าวหา โดยไม่ต้องระบุชื่อพยาน
การแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาตามวรรคหนึ่ง ให้ทำบันทึกมีสาระสำคัญตามแบบ วน.๖ ท้ายระเบียบนี้ โดยทำเป็นสองฉบับ เพื่อมอบให้ผู้ถูกกล่าวหาหนึ่งฉบับ เก็บไว้ในสำนวนการสอบสวนหนึ่งฉบับ และให้ผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบไว้เป็นหลักฐานด้วย
ในกรณีคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาพยานหลักฐานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาแล้วเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่เป็นความผิดวินัย ก็ให้ดำเนินการตามข้อ ๒๙ โดยอนุโลม

ข้อ ๒๖  ในการสอบสวน ให้คณะกรรมการสอบสวนให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหาที่จะชี้แจง ตลอดจนนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาได้  ทั้งนี้ ภายในกำหนดระยะเวลาอันสมควร
ผู้ถูกกล่าวหาจะนำพยานหลักฐานมาเอง หรือจะขอให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกพยานหลักฐานนั้นมาก็ได้

ข้อ ๒๗  หากคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า การสอบสวนพยานหลักฐานใดจะทำให้การสอบสวนต้องล่าช้าไปโดยไม่จำเป็น หรือมิใช่พยานหลักฐานในประเด็นสำคัญ คณะกรรมการสอบสวนจะงดการสอบสวนพยานหลักฐานนั้นเสียก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสำนวนการสอบสวนด้วย

ข้อ ๒๘  ในการบันทึกถ้อยคำ ถ้ามีการแก้ไขข้อความที่ได้บันทึกไว้แล้ว ให้กรรมการผู้ร่วมสอบสวนอย่างน้อยหนึ่งคนกับผู้ให้ถ้อยคำลงลายมือชื่อกำกับไว้ทุกแห่งที่มีการแก้ไข
ถ้าบันทึกถ้อยคำมีหลายหน้า ให้กรรมการอย่างน้อยหนึ่งคนกับผู้ให้ถ้อยคำลงลายมือชื่อกำกับไว้ทุกหน้า

ข้อ ๒๙  เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการสอบสวนประชุมปรึกษาทำรายงานการสอบสวนสรุปข้อเท็จจริงพร้อมทั้งแสดงความเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยตามเรื่องที่กล่าวหาหรือไม่ กรณีใด ตามมาตราใด และควรลงโทษสถานใด ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ตามแบบ วน. ๗ ท้ายระเบียบนี้ ถ้ากรรมการคนใดมีความเห็นแย้งจะทำความเห็นแย้งติดไว้กับสำนวนการสอบสวนก็ได้ แล้วให้คณะกรรมการสอบสวนรายงานผลการสอบสวนและความเห็นต่อ ก.อ. ภายในกำหนดเวลาตามข้อ ๑๖ เพื่อพิจารณา

ข้อ ๓๐  ในการสอบสวน ประธานกรรมการจะให้ข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นผู้ช่วยเหลือในการรวบรวมเอกสาร การบันทึกคำให้การ หรือดำเนินการอื่นตามที่ประธานกรรมการเห็นสมควรก็ได้

ข้อ ๓๑  ในกรณีคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าข้าราชการอัยการผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ตามข้อกำหนดคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยความผิดที่ปรากฎชัดแจ้ง หรือได้ให้ถ้อยคำรับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาหรือต่อคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนจะไม่สอบสวนต่อไปก็ได้ แล้วทำรายงานผลการสอบสวนและความเห็นตามข้อ ๒๙ ต่อ ก.อ. เพื่อพิจารณา

ข้อ ๓๒  เมื่อ ก.อ. ได้พิจารณารายงานผลการสอบสวนและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนแล้ว มีมติว่าข้าราชการอัยการผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงสมควรไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หรือมีมติเป็นประการอื่นใด ให้ประธาน ก.อ. มีคำสั่งให้เป็นไปตามมตินั้น

ข้อ ๓๓  ในกรณีที่ปรากฏว่าการสอบสวนตอนใดทำไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ไม่ทำให้สำนวนสอบสวนทั้งหมดเสียไป หากมิใช่สาระสำคัญอันจะทำให้เสียความเป็นธรรม ก.อ. จะสั่งให้แก้ไขหรือดำเนินการให้ถูกต้องหรือไม่ก็ได้ แต่หากการสอบสวนตอนนั้นเป็นสาระสำคัญอันจะทำให้เสียความเป็นธรรม ให้ ก.อ. สั่งให้คณะกรรมการสอบสวนแก้ไขหรือดำเนินการสอบสวนตอนนั้นให้ถูกต้องโดยเร็ว

บทเฉพาะกาล
                  

ข้อ ๓๔  การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อกำหนด ก.อ. ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ว่าด้วยการสอบสวนทางวินัย ประกอบพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๐๗ ต่อไปจนกว่าจะเสร็จ
ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนเสร็จแล้ว ให้ดำเนินการตามวิธีการในข้อ ๒๙


ประกาศ ณ วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
จุลสิงห์  วสันตสิงห์
อัยการสูงสุด
ประธานคณะกรรมการอัยการ

[เอกสารแนบท้าย]

๑. คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน (แบบ วน.๑)
๒. บันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหา (แบบ วน.๒)
๓. บันทึกถ้อยคำของผู้ถูกกล่าวหา (แบบ วน.๓)
๔. บันทึกถ้อยคำผู้กล่าวหา (แบบ วน.๔)
๕. บันทึกถ้อยคำพยาน (แบบ วน.๕)
๖. บันทึกการแจ้งและรับทราบข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา (แบบ วน.๖)
๗. รายงานการสอบสวน (แบบ วน.๗)

(ดูข้อมูลจากภาพกฎหมาย)


















ปริยานุช/ผู้จัดทำ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔

ปณตภร/ผู้ตรวจ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔



















































[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘/ตอนที่ ๙๑ ก/หน้า ๒/๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

(ฉบับเต็ม) พรบ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ 2553

พระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓                    ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นปีที่ ๖๕ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ   ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๖๔   ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑    พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ ” มาตรา ๒ [๑]    พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓    ให...

ระเบียบ กอ.การลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ 2555

ระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๕                    โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ คณะกรรมการอัยการจึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า  “ ระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการลาหยุดราชการของข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ” ข้อ ๒ [ ๑]   ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓  ในระเบียบนี้ “ ข้าราชการ ”  หมายความว่า ข้าราชการฝ่ายอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ “ ก.อ. ”  หมายความว่า คณะกรรมการอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ข้อ ๔  การลาทุกประเภทตามระเบียบนี้ ถ้ามีกฎหมาย ระเบียบ ก.อ. หรือมติ ก.อ. กำหนดเกี่ยวกับการลาประเภทใดไว้เป็นพิเศ...

ลักษณะงานที่ปฏิบัติ : นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ

หน้าที่ความรับผิดชอบหลัก ปฏิบัติงานในฐานะผู้ปฏิบัติงานระดับต้น ที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถทางวิชาการในการทำงาน ปฏิบัติงานด้านการบริหารจัดการภายในสำนักงานหรือการบริหารราชการทั่วไป ภายใต้การกำกับ แนะนำ ตรวจสอบ และปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมีลักษณะงานที่ปฏิบัติในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑.ด้านการปฏิบัติการ ศึกษา รวบรวมข้อมูล สถิติ สรุปรายงาน เพื่อสนับสนุนการบริหารสำนักงานในด้านต่าง ๆ เช่น /งานสนับสนุนการดำเนินคดีของพนักงานอัยการ /งานบริหารทรัพยากรบุคคล /งานบริหารงบประมาณ /งานบริหารแผนปฏิบัติราชการ /งานบริหารอาคารสถานที่ และ /งานสัญญาต่างๆ เป็นต้น ปฏิบัติงานเลขานุการของผู้บริหาร เช่น การกลั่นกรองเรื่อง การจัดเตรียมเอกสารสำหรับการประชุม เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหาร จัดเตรียมการประชุม บันทึกและเรียบเรียงรายงานการประชุม และรายงานอื่น ๆ เพื่อให้การบริหารการประชุมมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน ทำเรื่องติดต่อกับหน่วยงานและบุคคลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด ช่วยติดตามกา...